วิธีดูแลรักษายางรถยนต์ เพื่อยืดอายุการใช้งาน? ส่วนประกอบ หรือชิ้นส่วนของรถยนต์ในแต่ละชิ้นนั้น จะมีอายุการใช้งานที่ไม่ตายตัว โดยปัจจัยหลักๆจะขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน และการดูแลรักษาของผู้ขับขี่แต่ละคน ยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญไม่น้อย มีผลโดยตรงต่อการทรงตัวของรถในขณะขับขี่ การเติมลมยางอย่างถูกต้องอาจไม่เพียงพอ น้องยูคอนจึงรวบรวม วิธีดูแลรักษาและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยางรถยนต์ ที่มือใหม่ไม่ควรพลาด
ความหมายของชุดอักษร และตัวเลข บนแก้มยาง
เรามาทำความรู้จักกับ ตัวยางรถยนต์กันก่อนเบื้องต้น เราอาจเคยสังเกตบนแก้มยาง นอกจากจะระบุยี่ห้อของยางแล้ว ยังมีพวกตัวอักษร และตัวเลขต่างๆ ซึ่งระบุถึง ขนาด ความกว้าง ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางว่า รับน้ำหนักได้มากที่สุดเมื่อเติมลมยางอย่างเหมาะสมอยู่ที่เท่าใด รวมถึงขีดจำกัดความเร็ว ที่ยางสามารถรองรับได้ ยกตัวอย่าง เช่น
ชุดตัวอักษร และตัวเลขจากรูป คือ 185/55R16 83H โดยมีความหมาย ดังนี้
- ตัวเลข 185 คือ ความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็น มิลลิเมตร
- ตัวเลข 55 คือ ความสูงของแก้มยาง มีหน่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆก็คือ 55% ของ 185 มม. เมื่อคำนวณตัวเลขออกมาแล้ว แก้มยางจะมีความสูงประมาณ 102 มม.
- ตัวอักษร R หมายถึง ชนิดโครงสร้างของยาง เป็นแบบ เรเดียล (Radial tire) สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ แรงเสียดทานระหว่างยางกับผิวถนนมีน้อย ทำให้ประหยัดนํ้ามัน เกาะถนนได้ดี และมีอายุใช้งานมากกว่ายางธรรมดา
- ตัวเลข 16 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของวงล้อ มีหน่วยเป็น นิ้ว ที่มักเรียกกันว่า ล้อขอบ 16 นิ้ว
- ตัวเลข 83 คือ ความสามารถในการรับน้ำหนักได้มากที่สุด ของยางแต่ละเส้น จากตารางด้านล่าง จะเท่ากับ 487 กิโลกรัม
- ตัวอักษร H หมายถึง ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด ที่ยางสามารถรองรับได้ จากตารางด้านล่าง จะเท่ากับ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนี้ เรายังสามารถดูสัปดาห์ และปีที่ผลิตได้จาก ชุดตัวเลข 4 ตัว โดยเลขคู่หน้า หมายถึง สัปดาห์ที่ผลิต (ในหนึ่งปีมี 52สัปดาห์) และเลขคู่หลัง หมายถึง ปี ค.ศ. ที่ผลิต ซึ่งจากรูปด้านล่างระบุเอาไว้คือ 4118 จึงแปลความหมายได้ว่า ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 41 ปี 2018
วิธีดูแลรักษายางรถยนต์
- ตรวจเช็คความดันลมยางอยู่เสมอ
ควรตรวจเช็คลมยาง อย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือก่อนออกเดินทางไกล ให้อยู่ในระดับเหมาะสมตามที่กำหนด ควรเช็คตอนที่ยางไม่ร้อน เพื่อให้ได้ค่าแรงดันลมยางที่แท้จริง หากมีแรงดันลมยางมากเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนน้อยลง หรือหากมีแรงดันลมยางน้อยเกินไป จะทำให้เกิดแรงเสียดทาน และทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้น
- สลับยางรถยนต์
ควรสลับยางรถยนต์ทุก ๆ 10,000 ถึง 12,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน โดยส่วนใหญ่ ยางล้อหน้าจะสึกหรอเร็วกว่าล้อหลัง การสลับตำแหน่งจะช่วยให้ยางสึกหรอเท่ากันทั้งชุด และทำให้ยางสามารถใช้งานได้นานขึ้น ควมคุมรถได้ง่ายขึ้น
- การตั้งศูนย์ล้อ
คือ การปรับหน้าล้อให้มีความสัมพันธ์กันทุกมุม เพื่อให้รถวิ่งได้ตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากรถตั้งศูนย์ไม่ดี จะสังเกตได้ง่าย ๆ คือ เมื่อรถวิ่งทางตรง ลองปล่อยมือจากพวงมาลัย (ด้วยความเร็วต่ำ) หากรถวิ่งเบี่ยงไปในทิศทางอื่น แสดงว่า ศูนย์ล้อไม่ตรง ส่งผลให้ดอกยางเกิดการสึกหรอไม่เท่ากัน
- การถ่วงล้อ
คือ การเพิ่มน้ำหนักให้กับล้อแต่ละล้อ เพื่อให้มีความสมดุลมากที่สุด ช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการยึดเกาะถนนของยางรถยนต์ และระบบช่วงล่างของรถยนต์ แต่ถ้าหากรู้สึกว่า พวงมาลัยสั่นขณะวิ่งบนทางเรียบ แสดงว่าอาจเกิดความไม่สมดุล
- Run In
หากเพิ่งเปลี่ยนยางมาใหม่ ในระยะแรก 100 – 200 กิโลเมตร ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. เนื่องจากโครงสร้างของแก้มยาง และหน้ายางยังปรับสภาพไม่เข้าที่
- ระมัดระวังในการขับรถ
ควรหลีกเลี่ยงการออกรถ และหยุดรถอย่างกะทันหัน, หักเลี้ยวอย่างรุนแรง, ขับรถปีนขอบถนน, ขับเบียดฟุตบาท, ขับรถโดยไม่หลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง
- หากจอดรถทิ้งไว้นานๆ
หากจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน แนะนำ ให้เติมลมยางมากกว่าปกติ 5-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ถ้าจอดรถทิ้งไว้นานเกิน 1 เดือน จะส่งผลให้ยางไม่คืนตัว นํ้าหนักของรถจะตกไปอยู่ที่จุดๆ เดียวของยาง ทำให้ยางส่วนนั้นยุบ และไม่เป็นวงกลม ดังนั้น ควรขยับรถเพื่อให้หน้ายางส่วนอื่นสัมผัสพื้นบ้าง