ศัพท์ประกันภัยรถยนต์ รู้ไว้ไม่เสียหาย

ศัพท์ประกันภัยรถยนต์ รู้ไว้ไม่เสียหาย

ศัพท์ประกันภัยรถยนต์ รู้ไว้ไม่เสียหาย ประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบัน มีให้เลือกซื้อมากมายหลายบริษัท แต่ละที่ก็จะมีข้อกำหนด ความคุ้มครองที่ต่างกันออกไป เมื่อเราตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์แล้ว สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมนอกจากความคุ้มครองก็คือ คำศัพท์ที่ใช้ในประกันภัยรถยนต์ ซึ่งบางคำเป็นศัพท์เฉพาะ ผู้ที่ซื้อประกันอาจยังไม่ทราบความหมาย น้องยูคอน จึงมีคำศัพท์มาแนะนำเพิ่มเติม เพื่อที่จะเข้าใจในความหมายของประกันภัยรถยนต์มากขึ้น

ศัพท์ประกันภัยรถยนต์ รู้ไว้ไม่เสียหาย ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน

ศัพท์ประกันภัยรถยนต์ ที่ควรรู้

ผู้เอาประกันภัย

คือ คู่สัญญาประกันภัยซึ่งมีหน้าที่เปิดเผยข้อความจริงต่อผู้รับประกันภัย ตลอดจนมีหน้าที่ชำระเบี้ยประกันภัย และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในส่วนที่เอาประกันภัยไว้ ผู้เอาประกันภัยก็มีสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง

ผู้รับประกันภัย

คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง(โดยทั่วไปคือบริษัทประกันภัย) ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายจากกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ผู้รับประกันภัยมีสิทธิในการรับเบี้ยประกันภัย และมีหน้าที่พิจารณารับประกันภัย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา ในการชดใช้นั้น อาจชดใช้เป็นเงินสด การซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม หรือการหาของชิ้นใหม่มาแทนที่ได้รับความเสียหายก็ได้

ซ่อมห้าง

หลายคนอาจคิดว่า คำว่าห้าง หมายถึง ห้างสรรพสินค้า หรือเป็นการนำรถไปซ่อมในห้าง ความจริงแล้วคำว่า ซ่อมห้างหมายถึง การที่ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองรถ อนุญาตให้นำรถเข้าซ่อมศูนย์ที่ได้รับการรับรองจากบริษัทรถยนต์ ไม่ว่าจะซ่อมในศูนย์บริการ หรือ ทางศูนย์ส่งให้ซัพพลายเออร์ข้างนอกซ่อมตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ถือว่าเป็นการซ่อมห้างเหมือนกัน เรียกง่ายๆ คือ การนำรถไปซ่อมศูนย์ นั่นเอง

  • ข้อดีของการซ่อมห้าง

หากรถเป็นรุ่นใหม่ จะมีอะไหล่รองรับมากกว่าการซ่อมอู่ และอะไหล่ที่ได้ จะเป็นของแท้แน่นอน เพราะสั่งตรงจากโรงงานรถยนต์ของยี่ห้อของคุณ มีความน่าเชื่อถือ มีช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง บริการได้มาตรฐาน

  • ข้อเสียของการซ่อมห้าง

การนำรถไปซ่อมห้าง หรือซ่อมศูนย์ฯ ราคาแพงกว่าการซ่อมอู่นอกแน่นอน การซ่อมแต่ละครั้งต้องมีการจองคิว ซึ่งจะใช้เวลาที่นานมาก บางจังหวัด บางพื้นที่ ศูนย์บริการไม่ครอบคลุม

ค่า excess

ค่า excess

เป็นอีกหนึ่งคำ ที่หลายคนคงเคยได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง คือคำว่า ค่า excess หรือ ค่าเสียหายส่วนแรก หมายถึง เงินที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อรับผิดชอบเกี่ยวกับความเสียหายโดยอาจเกิดจากความประมาท แบบไม่มีคู่กรณี หรืออาจปล่อยให้คู่กรณีหนีไปไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม การเสียค่าเสียหายส่วนแรกเป็นไปตามบทบัญญัติของ คปภ. เพื่อให้ผู้ใช้รถมีความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น โดยกำหนดให้มีขั้นต่ำครั้งละ 1,000-2,000 บาท ตามที่มีการระบุในกรรมธรรม์ประกันภัย

สาเหตุที่กฎนี้ถูกบังคับใช้ เนื่องจากพบว่า มีการชนที่ไม่มีคู่กรณีจำนวนมาก ทำให้บริษัทประกันภัยสูญเสียค่าสินไหมทดแทนที่ไม่จำเป็นให้กับผู้เอาประกัน ไม่ว่าจะจากการขับขี่โดยประมาท หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงกำหนดให้มีค่าเสียหายส่วนนี้ขึ้นมา โดยกำหนดให้ผู้เอาประกันต้องจ่ายเงินเบื้องต้น

ค่า Deductible

คือ ค่าความเสียหายส่วนแรก แบบที่เราสมัครใจจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นและเราเป็นฝ่ายผิด ซึ่งมีค่าใช้จ่าย อยู่ที่ระหว่าง 1,000-5,000 บาท ต่างจากค่า Excess ที่เป็นค่าความเสียหายที่เราต้องจ่ายเนื่องจากความประมาทหรือไม่สามารถระบุคู่กรณีที่เกิดเหตุได้ สำหรับค่า Deductible นั้นเราสามารถนำมาเป็นส่วนลดในการต่อเบี้ยประกันรถยนต์ได้ ตามค่าความเสียหายที่เราเลือกได้ด้วย

การเลือกค่า Deductible ควรดูจากทักษะในการขับขี่ของตัวเราเป็นหลัก ถ้าขับเก่งแล้ว สามารถเลือกจ่าย 5,000 บาท เพราะจะลดค่าเบี้ยประกันลงถึง 5,000 บาทเช่นกัน หรือหากยังมีประสบการณ์ในการขับขี่ไม่มาก ก็สามารถเลือกจ่ายค่า Deductible ที่ 1,000 บาท

ค่าสินไหมทดแทน

คือ ความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชดใช้ โดยความเสียหายดังกล่าว เป็นผลมาจากภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ และมีจำนวนตามที่เสียหายจริง

เคลมสด

การเคลมสด หมายถึง การเคลม ณ ที่เกิดเหตุ โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันไปตรวจสอบทันที โดยสามารถแยกออกได้เป็น 2 แบบ

เคลมสดแบบมีคู่กรณี คือ กรณีที่รถชนรถด้วยกันเอง เจ้าหน้าที่บริษัทประกันจะพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด โดยฝ่ายที่ผิด อาจต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก(Deductible)ให้กับคู่กรณีก่อน ตามแต่ที่ตกลงไว้กับทางบริษัทประกัน

เคลมสดแบบไม่มีคู่กรณี: คือ กรณีที่รถของผู้ถือประกัน ชนเข้ากับสิ่งของหรือวัตถุจนเกิดความเสียหาย เช่น ชนต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า หากเป็นกรณีนี้ ผู้ถือประกันจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก(Excess)

เคลมแห้ง

การเคลมแห้ง คือ การแจ้งเคลม หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไปแล้วระยะหนึ่ง(ไม่ควรเกิน 2-3 วัน) มักจะเป็นการเคลมจากกรณีที่รถยนต์ เกิดการเฉี่ยวหรือชนแบบเบาๆ โดยผู้ถือประกันจะต้องจดจำเหตุการณ์ให้ชัดเจนว่า ชนกับอะไร, ที่ไหน, วันเวลาใด และจะต้องแจ้งเคลมกับทางบริษัทประกันรถยนต์ด้วยตนเอง การเคลมแห้ง จะมีอีกหนึ่งกรณีคือการ เคลมรอบคัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการเก็บรายละเอียดร่องรอยต่างๆ รอบทั้งคันแต่ความคุ้มครองนี้ จะมีเฉพาะประกันชั้น 1 เท่านั้น

ใบเคลม

ใบเคลม คือ ใบยืนยันเหตุการณ์ รวมถึงความเสียหายหลังจากเกิดเหตุ โดยเป็นการบันทึกและตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกัน เอกสารใบเคลมจะมีอายุประมาณ 1-2 ปี นับตั้งแต่วันที่แจ้งเหตุการณ์ แต่แนะนำว่า หากได้รับใบเคลมจากบริษัทประกันภัยแล้ว ควรนำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการหรืออู่ภายใน 15 วัน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไปเป็นเวลานาน ความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ อาจจะลุกลามเกินกว่าที่ได้ระบุไว้ในใบเคลม โดยจะต้องนำใบเคลม ติดต่ออู่หรือศูนย์บริการที่จะเข้าซ่อม ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทประกันภัย

  • ใบเคลมหาย แก้ไขอย่างไร
  1. ติดต่อแจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์โดยทันที

เมื่อรู้ว่าใบเคลมหาย แนะนำโทรติดต่อกับทางบริษัทประกันภัยโดยทันที โดยการแจ้งนี้เราจะต้องแจ้งรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจุดที่เสียหาย วันที่เกิดเหตุ ให้ตรงตามความจริง เพื่อการค้นหาหมายเลขเคลมได้ถูกต้อง

2. แจ้งความเอกสารหายที่สถานีตำรวจ

หลังจากบริษัทประกันแจ้งหมายเลขเคลมให้เราแล้ว ขั้นต่อไปคือการ ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้านว่าเอกสารในการเคลมหาย ซึ่งจะต้องให้ทางตำรวจ ระบุรายละเอียดทุกอย่างให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น หมายเลขเคลม เลขทะเบียน รุ่นรถ ยี่ห้อรถ เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการยื่นขอสำเนาใบเคลมกับทางบริษัทประกันภัย

3. นำใบแจ้งความไปติดต่อขอสำเนาใบเคลมกับทางบริษัทประกันภัย

ต้องนำใบเอกสารการแจ้งความ ไปยื่นให้กับทางบริษัทประกันภัย เพื่อเป็นการยืนยันหลักฐานว่า เราเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายและเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ได้ทำประกันอยู่จริง โดยสิ่งที่เราจะได้จากทางประกันคือ สำเนาใบเคลม

4. นำสำเนาใบเคลมไปยื่นที่ศูนย์หรืออู่เพื่อแจ้งซ่อม

หลังจากที่ได้รับสำเนาใบเคลมเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถนำรถของเราเข้าศูนย์หรืออู่ที่ให้บริการซ่อมรถของเราได้ตามปกติ

ใบเคลม

ทุนประกัน

คือ ค่าสินไหมที่บริษัทประกันภัย จะต้องจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัย ในกรณีเกิดความเสียหายต่อรถยนต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของประเภทประกันภัยรถยนต์ ในส่วนการคำนวณทุนประกันจะคิดที่ 80% จากราคากลางตลาด โดยวิเคราะห์ทุนประกันจากยี่ห้อ ปีรุ่นที่ผลิตรถยนต์ สำหรับประกันชั้น 1 จะมีเจ้าหน้าที่มาเช็คสภาพรถ

ส่วนลดประวัติดี

เป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่บริษัทฯ ให้แก่ ผู้เอาประกันภัยที่ไม่มีประวัติการเคลม โดยที่เป็นฝ่ายผิด สำหรับประกันรถชั้น 1 อย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นประวัติดี 20% เพิ่มขึ้นทุกปี 10% และไม่เกิน 50% หากในระหว่างปีกรมธรรม์ได้รับส่วนลดเบี้ยประวัติดี ในการต่ออายุประกันภัยปีต่อไปบริษัทฯ จะทำการลดเบี้ยให้

สนใจช้อปผลิตภัณฑ์จากยูคอน ได้ที่